บริษัทจดทะเบียนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เร่งเติมสภาพคล่องทางการเงิน ประกาศงดจ่ายปันผล วางแผนระดมทุนขายหุ้นเพิ่มทุนและหุ้นกู้ เพื่อใช้ในการขยายกิจการและรองรับโครงการอนาคต ด้านผู้บริหารเพอร์เฟคแจงเดินหน้าลดต้นทุนการเงิน ตั้งเป้าหมายลดค่าใช้จ่ายในการบริหารให้เหลือ 20% จาก 30% หวังยกระดับอันดับเครดิตของบริษัท  ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่มี สัญญาณการฟื้นตัว บริษัทจดทะเบียน ในกลุ่มอสังหาฯ เร่งระดมทุนเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจในปีนี้  โดยเลือกจะใช้ช่องทางตลาดทุนและหุ้นกู้เป็นแหล่งทุน

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) S รายงานว่า คณะกรรมการบริษัทพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท 1,624.71 ล้านบาท จากเดิมทุนจดทะเบียนจำนวน 7,348.29 ล้านบาท เป็นจำนวน 8,973 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญ เพิ่มทุน 1,624.71 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น 1,224.71 ล้านหุ้น สัดส่วน 14 หุ้นเดิมต่อ 13 หุ้นใหม่ราคาหุ้นละ 5 บาท เสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัดตามแบบ มอบอำนาจทั่วไป ไม่เกิน 300 ล้านหุ้น และ รองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท 100 ล้านหุ้น

วัตถุประสงค์ของการเพิ่มทุน และการใช้เงินทุนในส่วนที่เพิ่มเงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนจะนำไปใช้ดังต่อไปนี้ เพื่อชำระคืนเงินกู้ให้แก่สถาบันการเงิน 3,000 ล้านบาท ภายในปี 2559 เพื่อเป็นเงินทุนเพิ่มเติมในการลงทุนขยายกิจการนอกจากนี้คณะกรรมการบริษัทมีมติงดจ่ายเงินปันผลประจำงวด ปี 2558

บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) MJD แจ้งมติกรรมการบริษัทอนุมัติงดการจ่ายเงินปันผล เพื่อสารองเงินสดไว้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและเพื่อการลงทุนในอนาคตพิจารณาอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้ ในวงเงินไม่เกิน 7,000 ล้านบาท

บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)หรือJSP แจ้งมติคณะกรรมการมีมติให้ออกและเสนอขายหุ้นกู้ในวงเงิน ไม่เกิน 1,500 ล้านบาท เพื่อใช้ในการดำเนิน ธุรกิจ

นายธีรธัชช์ สิงห์ณรงค์ธร ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มสนับสนุน สายงานลงทุนสัมพันธ์ บริษัทพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) PF เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทมีแผนที่จะเร่งดำเนินการลดค่าใช้จ่ายและต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายลง โดยในแง่ค่าใช้จ่ายการขายและบริหาร (SG&A) มีเป้าหมายที่จะลดลงให้เหลือระดับ 20% แม้จะยังสูงกว่าอุตสาหกรรมที่ 17% แต่ก็เป็นระดับ ที่ลดลงค่อนข้างมากหากเทียบกับตัวเลขเมื่อสิ้นปี 2558 ซึ่งอยู่ที่ 30% โดยค่าใช้จ่ายที่ลดลงนี้จะมาจากการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขาย การเลือกใช้ช่องทางการโฆษณาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นผลจากรายได้ที่คาดว่าจะเติบโตขึ้นแตะ 20,000 ล้านบาท จากที่ทำได้ราว 12,000 ล้านบาท เมื่อปีก่อน ทั้งนี้หากบริษัทสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เชื่อว่าอัตรากำไรสุทธิของบริษัทจะเพิ่มขึ้นไปถึงระดับ 10% ตามเป้าหมายที่วางไว้ จาก ปีก่อนอยู่ที่ระดับ 2.8%

สำหรับเป้าหมายการลดภาระดอกเบี้ยจ่ายนั้น บริษัทต้องเร่งเพิ่มเรทติ้งให้กับบริษัท ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ BB+ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม โดยบริษัทจำเป็นจะต้องสร้างการเติบโตของผลประกอบการให้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของบริษัทอยู่ที่กว่า 5% โดยบริษัทต้องการที่จะลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้เหลือประมาณ 4% โดยส่วนตัวคาดว่าจะเห็นการปรับอันดับเครดิต ในปี 2560 เพราะทริส เรทติ้งจะพิจารณาผลการดำเนินงานระยะ 1 ปี นอกจากนี้บริษัท มีแผนที่จะออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อมาแทน ชุดเก่าที่จะครบกำหนดในปีนี้ มูลค่าราว 5,000 ล้านบาท แต่จะเป็นการทยอยออก โดยอายุเฉลี่ยของหุ้นกู้น่าจะอยู่ที่ราว 3 ปี  “เป้าหมายอย่างหนึ่งของบริษัทในปีนี้คือการเร่งสร้างการเติบโต และลดต้นทุนในการดำเนินงานที่ยังค่อนข้างสูงอยู่ โดยเฉพาะในส่วนของค่าใช้จ่ายด้านการขายและบริหารที่ตั้งเป้าลดลงเหลือ 20% แม้ในปีนี้อาจจะพลาดเป้าไป แต่เชื่อว่าการเดินไปหาเป้าหมายตรงนี้จะช่วยทำให้ต้นทุนโดยรวมดีขึ้น”

เป้าหมายยอดขายใหม่ในปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 16,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่ 11,000 ล้านบาท โดยมาจากการเปิดตัวโครงการใหม่ 17 โครงการ มูลค่ารวม 24,041 ล้านบาท ส่วน ในอนาคตบริษัทยังมีที่ดินเปล่าอยู่อีกราว 1,500 ไร่ ซึ่งสามารถรองรับการเปิดตัวโครงการใหม่ได้อีกราว 50,000 ล้านบาท โดยทำเลส่วนมากจะอยู่บริเวณชานเมือง และเป็นทำเลที่ใกล้กับแนวรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ

ธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก ล่าสุดบริษัทได้ประกาศร่วมทุนกับ บริษัท เอสซีไอ อิเลคตริค จำกัด (มหาชน)SCI เพื่อเข้าลงทุนในบริษัทและโครงการที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภค พื้นฐาน เช่น ธุรกิจไฟฟ้าและน้ำประปา โดยร่วมกันจัดตั้งบริษัท ที ยูทิลิตี้ส์ จำกัด ซึ่งบริษัท ถือหุ้นในสัดส่วน 40% และเอสซีไอ 40% ส่วนอีก 20% เป็นกลุ่มผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหาร

สาเหตุที่บริษัทเข้าลงทุนนั้น เนื่องจากต้องการเพิ่มรายได้ที่มีความสม่ำเสมอ เพราะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะมีความผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ โดยแผนการลงทุนของที ยูทิลิตี้ส์ คาดว่าจะมีความชัดเจนประมาณเดือน เม.ย.ว่าจะมีการลงทุนโครงการอะไรบ้าง เพราะผู้ถือหุ้นของบริษัทต้องการข้อมูลความชัดเจนการลงทุนดังกล่าว

ขณะที่บริษัท วีรีเทล จำกัด (มหาชน) WR ซึ่งเป็นบริษัทย่อยนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่าง การเจรจากับพันธมิตรในการเข้ามาร่วมลงทุนในการก่อสร้างโครงการ Bangkok Midtown ซึ่งรูปแบบยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะเป็นการเข้ามาซื้อหุ้นแบบเฉพาะเจาะจงในบริษัทโดยตรง หรือจะเป็นลักษณะการ จัดตั้งบริษัทร่วมทุน

ทั้งนี้ คาดว่าจะมีความชัดเจนประมาณเดือน เม.ย. โดยพันธมิตรดังกล่าวเป็น ผู้ประกอบการค้าปลีกในประเทศไทย ส่วนจะกลับมาซื้อขายได้เมื่อไหร่นั้น คาดว่าประมาณต้นปีหน้าเพราะต้องรอให้มีกำไรที่เด่นชัดจากเดิมก่อน

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ